บิทคอยน์ (Bitcoin) คืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเป็นผู้คิดค้น เล่นบิทคอยน์รวยจริงหรือ ทำไมถึงมีความสำคัญกับระบบการเงินโลก เรามาเริ่มทำความรู้จักไปพร้อม ๆ กัน
เป็นเรื่องที่กระแสความสนใจมาแรงมากในขณะนี้กับสกุลเงินรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “บิทคอยน์ (Bitcoin)” หลังจากมีการพูดถึงกันเป็นวงกว้างว่า บิทคอยน์อาจจะเปลี่ยนระบบการเงินของโลกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งต้องบอกก่อนว่าบิทคอยน์ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพราะถูกคิดค้นมาตั้งแต่ปี 2552 หรือเกือบ 8 ปีมาแล้ว
โดยบิทคอยน์เริ่มมาเป็นกระแสในเมืองไทย เนื่องจากมีกลุ่มแฮกเกอร์ได้ปล่อยไวรัสเรียกค่าไถ่ "WannaCry" ซึ่งได้เรียกเก็บเงินกับผู้ที่ติดไวรัสเป็นสกุลเงินบิทคอยน์ ทำให้สกุลเงินนี้เป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก จนเมื่อเดือนธันวาคม 2560 มูลค่าบิทคอยน์พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลายคนคงเริ่มสงสัยแล้วว่าบิทคอยน์คืออะไร มาจากไหน ใครเป็นผู้คิดค้น และมีความสำคัญยังไง
เป็นเรื่องที่กระแสความสนใจมาแรงมากในขณะนี้กับสกุลเงินรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “บิทคอยน์ (Bitcoin)” หลังจากมีการพูดถึงกันเป็นวงกว้างว่า บิทคอยน์อาจจะเปลี่ยนระบบการเงินของโลกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งต้องบอกก่อนว่าบิทคอยน์ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพราะถูกคิดค้นมาตั้งแต่ปี 2552 หรือเกือบ 8 ปีมาแล้ว
โดยบิทคอยน์เริ่มมาเป็นกระแสในเมืองไทย เนื่องจากมีกลุ่มแฮกเกอร์ได้ปล่อยไวรัสเรียกค่าไถ่ "WannaCry" ซึ่งได้เรียกเก็บเงินกับผู้ที่ติดไวรัสเป็นสกุลเงินบิทคอยน์ ทำให้สกุลเงินนี้เป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก จนเมื่อเดือนธันวาคม 2560 มูลค่าบิทคอยน์พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลายคนคงเริ่มสงสัยแล้วว่าบิทคอยน์คืออะไร มาจากไหน ใครเป็นผู้คิดค้น และมีความสำคัญยังไง

บิทคอยน์ (Bitcoin) คืออะไร ?
บิทคอยน์ (Bitcoin) คือ
สกุลเงินสมมติที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบดิจิทัล
เพื่อเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยไม่ขึ้นกับสกุลเงินใด ๆ
ไม่มีรูปร่างและไม่สามารถจับต้องได้เหมือนธนบัตรหรือเหรียญทั่วไป
โดยบิทคอยน์มีหน่วยเงินตราเป็น BTC เหมือน
ๆ กับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ใช้หน่วยเงินตราเป็น USD สกุลเงินเยนของญี่ปุ่นที่ใช้ JPY หรือสกุลเงินบาทไทยที่ใช้เป็น THB นั่นเอง
ซึ่งบิทคอยน์ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2552
และเริ่มถูกนำไปใช้แลกเปลี่ยนซื้อ-ขายสินค้ากันจริง ๆ
ในโลกออนไลน์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทั้งนี้ บิทคอยน์ถือว่าเป็นเงินตราอิเล็กทรอนิกส์
(Cryptocurrency) สกุลหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีสกลุเงินอื่น
ๆ อีกมากมายที่ถูกคิดค้นขึ้นมา อาทิ สกุลเงิน Ethereum ที่ใช้ตัวย่อว่า ETH, สกุลเงิน Ripple ที่ใช้ตัวย่อว่า XRP และสกุลเงิน Litecoin ที่ใช้ตัวย่อว่า LTC แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันบิทคอยน์ยังคงเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมสูงสุด
บิทคอยน์
(Bitcoin) เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?
บิทคอยน์เกิดจากแนวคิดที่ว่ามีคนต้องการระบบเงินใหม่ที่ไม่ถูกตรวจสอบขึ้นมา
จากเดิมที่มีระบบธนาคารกลางเป็นผู้ดูแล และมีหน้าที่กำหนดมาตรฐาน
รวมถึงมูลค่าของเงิน
ทำให้ธุรกรรมทางการเงินทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของธนาคารกลางนั้นเอง
แต่กระบวนการเหล่านี้อาจจะไม่ค่อยถูกใจบรรดาธุรกิจใต้ดิน เพราะต้องระบุตัวตน
เวลาโอนเงินก็ต้องผ่านตัวกลาง ทำให้ถูกตรวจสอบได้ง่าย
ดังนั้น จึงมีหลาย ๆ
คนพยามจะสร้างสกุลเงินใหม่ที่ไม่ผ่านระบบธนาคารกลาง
และเป็นที่ยอมรับใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมีโปรแกรมเมอร์ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่า
ซาโตชิ นากาโมโต้ ได้สร้างระบบที่เรียกว่า “Blockchain” ออกมา
ซึ่งเป็นระบบเพื่อป้องกันการเกิดภาวะเงินเฟ้อและเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็วของสกุลเงินดิจิทัล
จากการปั๊มเงินออกมาเรื่อย ๆ ได้ตามใจชอบ โดยนำระบบการทำงานของอัลกอริทึมมาใช้
แล้วกำหนดปริมาณเงินในระบบไว้ไม่ให้เกิน 21 ล้านหน่วย
ทำให้บิทคอยน์เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากมีระบบป้องกันเงินเฟ้อนั่นเอง
ทั้งนี้
บิทคอยน์ถือว่าเป็นเงินตราอิเล็กทรอนิกส์ (Cryptocurrency) สกุลหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีสกลุเงินอื่น ๆ
อีกมากมายที่ถูกคิดค้นขึ้นมา อาทิ สกุลเงิน Ethereum ที่ใช้ตัวย่อว่า ETH, สกุลเงิน Ripple ที่ใช้ตัวย่อว่า XRP และสกุลเงิน Litecoin ที่ใช้ตัวย่อว่า LTC แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันบิทคอยน์ยังคงเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมสูงสุด

บิทคอยน์ (Bitcoin) ขุดยังไง เล่นแล้ว รวยจริงหรือ ?
หลังจากที่บิทคอยน์เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น
จึงมีหลายคนเริ่มเห็นโอกาสในการทำกำไร ซึ่งก็มีคนที่ประสบความสำเร็จ
ร่ำรวยกับบิทคอยน์ไปไม่น้อยเลยทีเดียว โดยการลงทุนในบิทคอยน์นั้น
สามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธีหลัก ๆ ดังนี้
1. การขุด (Mining)
อย่างที่บอกไปข้างต้น คือ
บิทคอยน์ถูกดูแลภายใต้ระบบ Blockchain ที่ทำงานโดยอัลกอริทึม ”การขุดคอยน์”
อธิบายง่าย ๆ ก็คล้าย ๆ กับการที่เราเข้าไปขุดทองในเหมือง
แต่แค่เปลี่ยนรูปแบบมาทำในระบบคอมพิวเตอร์แทน
โดยจะต้องนำคอมพิวเตอร์ของเราไปเป็นเซิร์ฟเวอร์ให้ระบบบิทคอยน์ใช้ในการเก็บธุรกรรมต่าง
ๆ
จึงจะได้รับค่าตอบแทนคือเงินบิทคอยน์
แต่การจะได้ค่าตอบแทนนั้นจะต้องแก้ไขสมการทางคณิตศาสตร์ให้ได้
ซึ่งต้องแข่งกับคนอื่น
ถ้าทำสำเร็จเราก็จะเป็นเจ้าของบิทคอยน์ที่เกิดขึ้นมาใหม่จากการขุดนั่นเอง
สำหรับความยากง่ายของการขุด
ขึ้นอยู่กับจำนวนบิทคอยน์ที่เหลืออยู่ในระบบที่ถูกกำหนดสูงสุดไว้ที่ 21 ล้านหน่วย
เพราะฉะนั้นยิ่งจำนวนบิทคอยน์เหลือน้อย การแก้สมการก็ยิ่งยากมากขึ้น
รวมถึงความแรงของการประมวลผลคอมพิวเตอร์เราด้วยที่ต้องมากขึ้นตามความยากของการขุด
ทำให้เราเห็นข่าวเรื่องที่คนหันมาซื้อการ์ดจอแรง ๆ
เพื่อมาแข่งกันขุดบิทคอยน์นั่นเอง
คอมพิวเตอร์ของใครแรงกว่าก็จะมีโอกาสแก้สมการได้เร็วกว่า
ส่วนจำนวนเงินที่ได้จากการขุดถูกกำหนดไว้ชัดเจน ซึ่งช่วงแรกจะได้ครั้งละ 50 BTC โดยจำนวนเงินที่ได้จะค่อย ๆ ลดลงทุก 4 ปี ทำให้ตอนนี้เหลือแค่ครั้งละ 25 BTC เท่านั้น
ขณะที่ปัจจุบันจำนวนบิทคอยน์ที่เหลืออยู่ในระบบมีไม่ถึง 5 ล้าน BTC แล้ว
แต่จำนวนคนที่เข้ามาขุดกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น
โอกาสรวยจากการขุดหาบิทคอยน์จึงยากมากขึ้น เนื่องจากต้องลงทุนซื้อการ์ดจอราคาแพง
2. เทรดด้วยสกุลเงินอื่น
หากใครที่ไม่มีคอมพิวเตอร์แรง ๆ
ไปขุดบิทคอยน์ เราสามารถนำเงินสกุลอื่น ๆ
ที่ได้รับการยอมรับไปแลกเพื่อเก็งกำไรมูลค่าของบิทคอยน์ได้จากนักขุด
โดยมีร้านรับแลกแบบออนไลน์เกิดขึ้นมากมาย ที่ทำหน้าที่เสมือนธนาคาร
ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนจะขึ้นกับกลไกลการตลาดกำหนด คือ
ช่วงเวลาไหนที่ได้รับความนิยมสูง มูลค่าของบิทคอยน์ก็จะสูงขึ้นตาม

1 บิทคอยน์ เท่ากับกี่บาท ?
อย่างไรก็ดี บิทคอยน์
ถือเป็นสกุลเงินที่มีความผันผวนเป็นอย่างมาก
โดยเฉลี่ยแล้วในหนึ่งวันมูลค่าของบิทคอยน์จะเปลี่ยนแปลงประมาณ 5% ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลปกติหรือการลงทุนในหุ้นที่เฉลี่ยต่อวันจะเปลี่ยนแปลงไม่ถึง
1% ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ผู้ที่สนใจเข้ามาลงทุนหรือเก็งกำไร
ควรจะต้องศึกษาข้อมูลและหาความรู้เพิ่มเติมอย่างละเอียด
ไม่เช่นนั้นอาจจะหมดตัวได้ง่าย ๆ
มูลค่าของบิทคอยน์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเหมือนสกุลเงินอื่น
ๆ ตามกลไกตลาด หรือที่เราเรียกว่าหลัก Demand Supply คือช่วงไหนที่ความต้องการบิทคอยน์
มีมากกว่าปริมาณบิทคอยน์ที่มีในระบบ ก็จะส่งผลให้มูลค่าบิทคอยน์เพิ่มขึ้น เช่น
ในช่วงที่มัลแวร์เรียกค่าไถ่ด้วยเงินบิทคอยน์
กลับกันหากบิทคอยน์ในระบบมีมากเกินความต้องก็จะทำให้มูลค่าลดลง
โดยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2560
บิทคอยน์ได้สร้างสถิติสูงสุดใหม่ คือ มีมูลค่าทะลุไปถึง 18,000 USD ต่อ 1 BTC หรือกว่า 580,000 บาทเลยทีเดียว
จากการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุน แม้จะมีกระแสคำเตือนต่าง ๆ
จากนักวิเคราะห์ว่าอาจเกิด "ภาวะฟองสบู่" กับตลาดบิทคอยน์ ทั้งนี้
ปัจจุบัน (ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2560) 1 BTC มีค่าเท่ากับ 17,200 USD หรือคิดเป็นเงินประมาณ 560,000 บาท
ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนแรกของบิทคอยน์
ถูกกำหนดขึ้นในเดือนตุลาคม 2552 ไว้ที่ 1 BTC เท่ากับ 0.000764 USD กระทั่งในเดือนพฤศจิกายน 2553
บิทคอยน์สามารถเพิ่มมูลค่าอย่างรวดเร็วเป็น 1 BTC เท่ากับ 0.50 USD และปรับเพิ่มขึ้นอย่างอย่างมหาศาลจนถึงปัจจุบัน

ภาพจาก bitcoincharts
บิทคอยน์
(Bitcoin) ผิดกฎหมายไหม เป็นที่ยอมรับหรือยัง ?
- อ่านข่าว คลัง ออกโรงเตือน
อย่าลงทุนบิทคอยน์ ชี้ เป็นการพนัน ไร้กฎหมายรองรับ
ด้านธนาคาร สถาบันการเงินต่าง ๆ ในไทย ขณะนี้ก็ยังไม่มีสถาบันการเงินแห่งไหน
เปิดให้ประชาชนทั่วไปซื้อ-ขายสกุลเงินดิจิทัลได้อย่างถูกกฎหมาย
จะมีก็แต่การเข้าไปศึกษาเพื่อนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงินเท่านั้น
เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ร่วมกับบริษัทในประเทศญี่ปุ่น
นำเทคโนโลยี Blockchain มาให้บริการโอนเงินข้ามประเทศสำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยอมรับบิทคอยน์อย่างถูกกฎหมาย อาทิ ประเทศในทวีปยุโรป
สหรัฐอเมริกา แคนาดา และญี่ปุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการหลายรายที่ยอมรับการชำระสินค้าเป็นเงินสกุลบิทคอยน์
เช่น Dell,
Expedia, Greenpeace และ Wikipedia

บิทคอยน์ (Bitcoin) โอกาสหรือความเสี่ยง ?
สำหรับการใช้บิทคอยน์
หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
เพื่อใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการนำมาซึ่งความสะดวกในหลายด้าน
เนื่องจากไม่จำเป็นต้องพกเงินสด อยากโอนให้ใครบนโลกนี้ก็ทำได้ง่าย ๆ
ไม่ต่างจากการส่งอีเมล และนับวันสกุลเงินดิจิทัลก็ค่อย ๆ เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น
แต่ความเสี่ยงของเงินสกุลนี้ก็ยังมีอยู่มากเช่นกัน
ได้แก่ ค่าเงินที่มีความผันผวนสูง เป็นช่องทางการฟอกเงินอีกหนึ่งรูปแบบ
รวมทั้งยังเป็นช่องทางให้เกิดการโจรกรรมทางอินเทอร์เน็ต
เพราะไม่มีการระบุข้อมูลของผู้ใช้ การจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษจึงทำได้ยากนั่นเอง
ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย จากการที่บิทคอยน์ไม่มีตัวตนจริง
จึงมีโอกาสสูญหายได้หากถูกโจมตีจากไวรัสที่ต้องการเข้ามาป่วนระบบ
รวมถึงการที่ธนาคารกลางของประเทศหลายประเทศยังไม่สามารถควบคุมปริมาณเงินในระบบให้มีเสถียรภาพได้ด้วย
ต้องบอกว่าปัจจุบันบิทคอยน์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวของเราอีกต่อไปแล้ว
เนื่องจากชีวิตประจำวันของทุกคนต้องข้องเกี่ยวกับระบบอินเทอร์เน็ตแน่นอน
และบิทคอยน์คงจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ กับระบบการเงินของโลกในอนาคต
ซึ่งการเรียนรู้ทำความเข้าใจเรื่องนี้เอาไว้ก็ไม่เสียหาย
เพราะใครจะไปรู้อนาคตข้างหน้า “บิทคอยน์”
อาจกลายเป็นสกุลเงินหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลายก็ได้
***หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 15 ธันวาคม 2560
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น